21.00 น.    คณะพร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 ผู้โดยสารขาออก เคาร์เตอร์ สายการบิน ROYAL JORDANIAN (RJ)  เจ้าหน้าที่บริษัทและหัวหน้าทัวร์คอยให้การต้อนรับพร้อมอำนวยความสะดวกในการเช็คอิน (กระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องท่านละ 1 ใบ ไม่เกิน 23 กิโลกรัม และถือขึ้นเครื่องท่านละ 1 ใบ ไม่เกิน 7 กิโลกรัม)

00.10 น.    ออกเดินทางสู่กรุงอัมมาน โดยสายการบิน ROYAL JORDANIAN  เที่ยวบินที่ RJ183 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง พร้อมจอทีวีส่วนตัวทุกที่นั่ง)
05.20 น.    ถึงสนามบินควีนอเลีย (AMM), ประเทศจอร์แดน เจ้าหน้าที่คอยต้อนรับ และช่วยอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าให้แก่คณะ หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองรับกระเป๋าสัมภาระและผ่านศุลกากร มีเวลาให้ท่านได้ทำการแลกเงินสกุลท้องถิ่น  จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองวาดี มูซา “Wadi Musa” (ระยะทางประมาณ 209 กิโลเมตร  เดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที) ที่ตั้งของ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ที่รู้จักกันในชื่อ เมืองเพตรา มหานครสีชมพู   
        นำท่านเข้าชมเขตอุทยานเพตรา มหานครศิลาทรายสีชมพู ที่แกะสลักขึ้นจากภูเขาทั้งลูก สถานที่แห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หุบเขาวาดี มูซา ที่สูงชันประดุจเป็นปราการอันยิ่งใหญ่ จนถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของผู้คนและสูญหายไปจากแผนที่นานนับพันปี
กระทั้งในปี ค.ศ.1812 โยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท นักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ เดินทางผ่านมาพบและออกมาเขียนหนังสือเล่าขานถึงความสวยงามและความมหัศจรรย์ของนครเพตรา จึงทำให้เพตราเริ่มปรากฏแก่สายตาชาวโลกอีกครั้ง และใน ปี ค.ศ.1985  องค์การยูเนสโก้ “UNESCO” ได้ประกาศให้เพตรา เป็นเมืองมรดกโลก โดยกล่าวอธิบายไว้ว่าเป็น หนึ่งในสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของมรดกทางวัฒนธรรมแห่งมวลมนุษยชาติ  “One of the most precious cultural properties of man's cultural heritage” และยังได้รับคัดเลือกเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอีกด้วย  นำท่านเดินมุ่งหน้าไปบนเส้นทางมหัศจรรย์ที่ทางเข้าออกของเมืองเพตรา พร้อมชมทัศนียภาพรอบข้างที่เป็นภูเขาทั้งสองฝั่งที่มีรูปร่างหน้าตาต่างกันออกไป จากนั้นเดินเข้าสู่เมืองบริเวณซอกเขาเรียกว่าซิค SIQ เป็นหุบเขาสูงกว่า 250 ฟุต ที่เกิดจากการแยกตัวของเปลือกโลกและการกัดเซาะของน้ำเมื่อหลายล้านปีก่อนจนเกิดเป็นช่องทางเดินเล็กๆ ระหว่างหุบเขา
ชมสีสันความสวยงามของหินสีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ และยังมีภาพศิลปะแกะสลักจากภูเขา อาทิ รูปปั้นแกะสลักต่าง ๆ เช่น รูปปั้นเทพเจ้าต่าง ๆ กองคาราวานอูฐ รูปชาวนาบาเทียน ชมท่อส่งลำเลียงน้ำเข้าสู่เมือง ฯลฯ อีกมากมาย  สุดปลายทางแห่งเขตหน้าผาสูงชั้นสองข้างทาง ท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของมหานครแห่งศิลาทรายสีชมพู  มหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ เอล-คาซเนท์ “EL-Khazneh  Treasury” สถานที่แห่งนี้ถูกสันนิษฐานว่าถูกสร้างโดยชาวนาบาเธียน ในราวศตวรรษที่ 1 - 2 โดยผู้ปกครองเมืองในเวลานั้น มหาวิหารถูกแกะสลักเป็นอาคารสองชั้น จากภูเขาสีชมพูทั้งลูก กลมกลืนได้สัดส่วน สวยงาม และน่าอัศจรรย์ อิสระในการเดินชมและเก็บภาพบรรยากาศ

เที่ยง    บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
     นำท่านเดินทางสู่ เขตอุทยานวาดิรัม (ระยะทาง 112 กิโลเมตร เดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง) ทะเลทรายแห่งนี้ในอดีตเป็นเส้นทางคาราวาน จากประเทศซาอุฯ เดินทางไปยังประเทศซีเรียและปาเสลไตน์ เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวนาบาเทียน ก่อนที่จะย้ายถิ่นฐานไปสร้างอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่เมืองเพตรา นำท่านทำการเช็คอินที่พัก
     จากนั้นนำท่านนั่งรถกระบะ 4x4WD ท่องทะเลทรายที่ถูกกล่าวขานว่าสวยงามที่สุดของโลกแห่งหนี่ง ด้วยเม็ดทรายละเอียดสีส้มอมแดงปรับเปลี่ยนไปตามแสงของดวงอาทิตย์
ในช่วงสงครามอาหรับระหว่างปี ค.ศ. 1916–1918 ทะเลทรายแห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นฐานบัญชาการรบของนายทหารชาวอังกฤษ ทีอี ลอว์เรนซ์ และเจ้าชายไฟซาล ผู้นำแห่งชาวอาหรับ ที่ร่วมรบขับไล่กองทัพออตโตมันที่เข้ามารุกรานเพื่อครอบครองดินแดนและต่อมายังได้ถูกใช้เป็นสถานที่ในการถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวูด อีกหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ทำให้มีชื่อเสียงไปทั่งโลกคือ “Lawrence of Arabia” ในปี ค.ศ.1963 ที่กวาดรางวัล ออสการ์ได้ถึง 7 รางวัล และรางวัลจากสถาบันอื่นๆ อีกกว่า 30 รางวัล
      หลังท่องทะเลทรายเสร็จ อิสระให้ท่านพักผ่อนตามอัธยาศัยพร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศแสงสีทองรำไรของพระอาทิตย์ยามอัสดงที่ทะเลทรายวาริดัม
 
ค่ำ     บริการอาหารค่ำ แบบบุฟเฟต์ ณ ห้องอาหารของแคมป์ที่พัก
ที่พัก :  LUXURY RUM MAGIC WADIRUM, WADIRUM หรือเทียบเท่าห้องพักแบบดีลักซ์ พร้อมเครื่องปรับอากาศ และห้องน้ำส่วนตัว 

 

ที่พัก LUXURY RUM MAGIC WADIRUM, WADIRUM

OPTIONAL: สำหรับท่านที่สนใจขี่อูฐ ชมและเก็บภาพบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าที่ทะเลทรายวาริดัม สามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่หัวหน้าทัวร์ เพื่อประสานงานจองอูฐล่วงหน้า มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอยู่ที่ประมาณ  20 JOD ต่อท่าน โดยใช้เวลาในการขี่และชมบรรยากาศ ประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง

เช้า     บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของแคมป์ที่พัก
               จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองมาดาบา (Madaba) (ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที) เมืองที่ได้รับการขนานนามว่า "เมืองแห่งโมเสก" เนื่องจากมีงานศิลปะโมเสกที่สวยงามและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ นำท่านชมบรรยากาศที่มีเสน่ห์ของเมืองและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเยี่ยมชม โบสถ์กรีกออร์โธดอกซ์แห่งเซนต์จอร์จ (Saint George Church) ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของพื้นโมเสกที่เป็นแผนที่สมัยโบราณ ทำจากกระเบื้องโมเสกสีสันสวยงามมากกว่า 2 ล้านชิ้น สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 6 หรือราวปี ค.ศ. 600 ในยุคไบเซนไทน์ แผนที่นี้แสดงให้เห็นถึงพื้นที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในอดีต โดยเฉพาะพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ มาดาบาจึงเป็นสถานที่ที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่รักศิลปะ ประวัติศาสตร์ และต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของจอร์แดน

เที่ยง     บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
     จากนั้นนำท่านเดินทางต่อสู่เขตทะเลเดดซี ทะเลทะเลที่ได้ชื่อเค็มที่สุดในโลก ระหว่างทางแวะให้ท่านได้ ช็อปปิ้งที่ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเดดซี เป็นจุดที่ให้ท่านได้เลือกชมเลือกซื้อของฝากเท่านั้น ไม่มีการบังคับซื้อ หรือบังคับให้อยู่ที่ร้านตามกำหนดเวลาใดๆทั้งสิ้น ของที่น่าสนใจ เช่น โคลนพอกตัว พอกหน้า สบู่ ครีมกันแดด และสินค้าอื่นที่ทำจากเดดซีอีกมากมาย จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พักเพื่อทำการเช็คอิน และ อิสระพักผ่อนภายในบริเวณโรงแรมที่พัก  หรือลงเล่นน้ำทะเลและพิสูจน์ความจริงว่าท่านสามารถลอยตัวในน้ำทะเลแห่งนี้ได้จริงหรือไม่ หรือให้ท่านทดลองเลือกบำรุงผิวพรรณโดยการพอกโคลนจากทะเลเดดซี ตามอัธยาศัย
(การลงเล่นน้ำในทะลเดดซีนั้นมีข้อควรระวังต่าง ๆ ควรฟังคำแนะนำจากมัคคุเทศก์ท้องถิ่น หัวหน้าทัวร์ เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของโรงแรม)
 
ค่ำ    บริการอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
ที่พัก :  GRAND EAST HOTEL RESORT & SPA, DEAD SEA ระดับ 4 ดาว หรือเทียบเท่า
 

 

ที่พัก GRAND EAST HOTEL RESORT & SPA, DEAD SEA

เช้า   บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
เดินทางสู่เขาเนโบ (Mt. Nebo) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองมาดาบา ประมาณ 10 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่เสียชีวิตและฝังศพของโมเสส ในศาสนายูดาห์ และศาสนาคริสต์ หรือ นบีมูซาในศาสนาอิสลาม ผู้นำคำสอนรวมถึงบัญญัติสิบประการของพระยะโฮวาห์ลงมาเผยแผ่สู่มนุษย์ และได้นำชาวยิวออกจากอียิปต์ไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญาคานาอัน ชมโบสถ์นุสรณ์โมเสส ซึ่งสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 4 (ประมาณ ค.ศ. 300-400) ในยุคไบเซนไทน์ ภายในโบสถ์มีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่เก็บรวบรวมสิ่งของที่ถูกขุดพบในพื้นที่ ซึ่งให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสถานที่นี้ และให้ท่านชมวิวและเก็บภาพบรรยากาศที่งดงามของเนินเขาแห่งนี้ที่สามารถมองเห็นแม่น้ำจอร์แดนและทะเลเดดซี ซึ่งเป็นแนวเขตระหว่างประเทศจอร์แดนและอิสราเอล และในวันที่อากาศแจ่มใสท่านอาจมีโอกาสมองเห็นได้ไกลถึงนครเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางศาสนาแก่ทั้งสามศาสนา ได้แก่ ยิว คริสต์ และอิสลาม ร่วม
เพลิดเพลินกับการเดินชม สัมผัสความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนาของสถานที่แห่งนี้ ที่จะสร้างความทรงจำที่ไม่รู้ลืม
จากนั้นนำคณะเดินทางกลับเข้าสู่กรุงอัมมาน (ระยะทาง 240 กิโลเมตร เดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง)  นครอันเก่าแก่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นำท่านชมกรุงอัมมาน เมืองหลวงที่ตั้งอยู่บนภูเขา 7 ลูก และมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 6,000 ปี
ชมป้อมปราการแห่งกรุงอัมมาน “Amman Citadel” บนยอดเขาสูงสุดในกรุงอัมมาน ถูกสร้างขึ้น เพื่อเป็นจุดสังเกตเหตุบ้านการเมืองต่าง ๆ รอบเมือง แม้จะเหลือเพียงซากปรักหักพังแต่ยังสวยงามและมีอายุย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยยุคหิน เผยให้เห็นอิทธิพลด้านสถาปัตยกรรมที่มาจากยุคเหล็ก รวมถึงยุคโรมัน ยุคไบแซนไทน์ และยุคอุมัยยะฮ์    
ชม วิหารเฮอร์คิวลิส “Temple of Hercules” ที่สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.162-166 ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าวิหารที่อยู่ในกรุงโรมโบราณเสียอีก ใกล้กันนั้นมีมือรูปกำปั้นขนาดใหญ่ที่ทำจากหินอ่อนเผยให้เห็นความขาวโพลนจนแทบไม่มีเลือด จากนั้นเดินผ่านทางเข้าที่เป็นแนวเสาระเบียงหินขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณปลายหน้าผา ตรงนี้จะเป็นจุดชมวิว พาโนรามาอันสวยงามของเมือง

เที่ยง        บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารจีน
                   จากนั้นนำท่านชม โรงละครโรมัน อายุกว่า 2,000 ปี ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของนครอัมมาน แต่ปัจจุบันก็ยังทำให้ผู้ที่พบเห็นได้ทึ่งกับการวางแผนทางด้านงานวิศวกรรมของโรมัน อันชาญฉลาดและมีดีไซน์ที่น่าจดจำ โรงละครโรมัน แห่งนี้เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามมากที่สุดในอัมมาน โรงละครมีความลาดเอียงลึกลงไป เอื้อให้เสียงที่ได้ยินรอบตัวนั้นมีคุณภาพเยี่ยม การออกแบบสุดสร้างสรรค์นี้สามารถบรรจุคนได้ประมาณ 6,000 คน สันนิษฐานว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 161-180 สมัยการปกครองของ แอนโทนิอุส ปิซุส “Antoninus Pius”
ถึงเวลาอันสมควรนำท่านเดินทางสู่ สนามบินควีนอเลีย
16:00 น.   เดินทางถึง สนามบินนานาชาติอัมมาน ควีน อาเลีย ทำการเช็คอินไฟลท์ RJ506 สู่กรุงไคโร 
18:50 น.   ออกเดินทางสู่กรุงไคโร โดยสายการบิน ROYAL JORDANIAN  เที่ยวบินที่ RJ 506 (บริการอาหารว่างและเครื่องดื่มบนเครื่อง)
23:30 น.    ถึงสนามบินไคโร เมืองหลวงของประเทศอียิปต์ เจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับและดูแลในการผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋า และการตรวจสัมภาระของศุลกากร นำทุกท่านขึ้นรอบัสที่จอดรอรับเพื่อเดินทางเข้าสู่กรุงไคโร และเช็คอินเข้าสู่ที่พัก
 
ค่ำ    บริการอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก
ที่พัก :  HOLIDAY INN CAIRO MAADI by IHG, CAIRO ระดับ 5 ดาว หรือเทียบเท่า

 

ที่พัก HOLIDAY INN CAIRO MAADI by IHG, CAIRO

เช้า          บริการอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
            นำท่านเข้าชมมหาพีระมิดแห่งกีซ่า (The Great Pyramid of Giza)  หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ตั้งของมหาพีระมิด 3 องค์ อันประกอบด้วย  พีระมิดคูฟู  Khufu มีขนาดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า สร้างโดยฟาห์โรคูฟู ที่มีจุดประสงค์เพื่อเป็นที่ประทับสำหรับการฟื้นคืนชีพ สูง 146 เมตร สร้างด้วยหินแกรนิต 2.3 ล้านแท่ง  พีระมิดคาเฟร Khafre ตั้งอยู่ตรงกลางของพีระมิดทั้ง 3 สร้างโดยฟาโรห์เคเฟรน ในปี 2465 ก่อน ค.ศ. สูง 136 เมตร ต่ำกว่าพีระมิด 10 เมตร สร้างบนเนินดินขนาดใหญ่ จึงทำให้ดูสง่ากว่าพีระมิด 2 อีกองค์ กินเนื้อที่ประมาณ 1.6 ล้านลูกบาศก์เมตร มีห้องโถงกว้าง 2 ห้อง แต่ภายในถูกบุกรุก ทำลายเสียหาย  พีระมิดมิเซรินุส (Mycernos) สร้างโดยฟาโรห์เมนเคอเร ปี 2420 ก่อน ค.ศ. มีขนาดเล็กที่สุด และเก่าแก่น้อยที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่าชม สูง 66.45 เมตร ปัจจุบันสูงเพียง 62.18 เมตร อิสระเดินเที่ยวชมและถายภาพตามอัธยาศัย มีความเชื่อกันว่าพีระมิดนี้ถูกสร้างขึ้นโดยประสงค์ขององค์ฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณเพื่อฝังพระศพของพระองค์เอง ใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้นกว่า 30 ปี จากแท่งหินขนาดใหญ่แต่ละก้อนหนักกว่า 2 ตัน วางชิดติดกันแบบแนบสนิทมากแม้แต่กระดาษก็สอดไม่ผ่าน
นำท่าน ขี่อูฐชมทิวทัศน์รอบๆ โดยมีหมู่พีระมิดเป็นฉากหลังซึ่งเป็นอีกหนึ่งมุมถ่ายภาพวิวพีระมิดยอดนิยม ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยื่อนพีระมิดกีซ่า
จากนั้นแวะถ่ายรูปกับ สฟิงซ์ ที่แกะสลักจากเนินหินธรรมชาติ มีหน้าที่เฝ้าวิหารและสุสานของกษัตริย์ เป็นเครื่องแสดงถึงอำนาจ ส่วนหัวเป็นพระพักตร์ของฟาโรห์เคฟเฟร ลำตัวเป็นสิงโตหมอบเพศผู้ มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกยาวประมาณ 73 เมตร สูง 20 เมตร แกะสลักจากหินปูนเพียงก้อนเดียว ซึ่งเป็นสฟิงซ์หนึ่งเดียวในบริเวณที่ราบสูงกีซ่าแห่งนี้
 
เที่ยง        บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น
                   นำท่านเข้าชมพิพิธภัณฑ์แกรนด์อียิปต์ แห่งใหม่ (GEM) อัครสถานสำหรับจัดแสดงมหาสมบัติของกษัตริย์ตุตันคามุน เป็นพิพิธภัณฑ์โบราณคดีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 480,000 ตร.ม. ห่างจากมหาพีระมิดแห่งกีซาราว 2 กิโลเมตร จัดแสดงโบราณวัตถุของอารยธรรมอียิปต์โบราณ กว่า หนึ่งแสนชิ้น จุดน่าสนใจคือการจัดแสดงครั้งแรกอย่างเต็มรูปแบบของวัตถุโบราณที่ขุดค้นได้จากสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน ทั้งชุด ซึ่งหลายชิ้นเป็นการจัดแสดงเป็นครั้งประกอบด้วยสิ่งของทั้งหมดประมาณห้าพันชิ้น และของที่ย้ายจากพิพิธภัณฑ์อียิปต์ในกรุงไคโร พิพิธภัณฑ์ในลักซอร์ มินยา โซฮัก อัสยูต เบนิ ซูเอฟ ฟายุม เดลต้า และอเล็กซานเดรีย
นำเข้าชม ป้อมปราการเก่าแห่งซาลาดิน Citadel of Saladin สร้างเมื่อ ค.ศ. 1176 โดยสุลต่านซาลาดิน เพื่อเป็นป้อมปราการป้องกันการรุกรานของศัตรู สมัยสงครามครูเสด อยู่บนเนินเขากลางกรุงไคโรสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของกรุงไคโรได้ไกลถึงปิรามิดที่กีซ่า
ชม สุเหร่าแห่งโมฮัมหมัดอาลี (Mohamm ad Ali) สุเหร่าที่ใหญ่และสูงที่สุดในกรุงไคโร สร้างในปี ค.ศ. 1830 เสร็จปี ค.ศ. 1848 เป็นสัญลักษณ์ของกรุงไคโร ประกอบด้วย 2 ส่วน คือตัวสุเหร่า และส่วนของสนามตรงกลางเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีโดมขนาดใหญ่สูง 52 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 21 เมตร มีโดมขนาดเล็กรองรับอีก 4 มุม ตัวอาคารสร้างด้วย หิน Albaster ตกแต่งด้วยโคมไฟระย้างดงามตามแบบศิลปะอิสลาม หน้าสุเหร่ามีหอนาฬิกาที่พระเจ้าหลุยส์ฟิลิปป์แห่งฝรั่งเศสมอบให้รัฐบาลอียิปต์เป็นของขวัญ แลกกับเสาโอเบลิสก์จากวิหารลักซอร์ 

ค่ำ    บริการอาหารค่ำ บนเรือ ชมบรรยากาศสองฟากฝั่งแม่น้ำไนล์ยามค่ำคืน พร้อมชมโชว์
ที่พัก :  HOLIDAY INN CAIRO MAADI by IHG, CAIRO ระดับ 5 ดาว หรือเทียบเท่า
 

ที่พัก HOLIDAY INN CAIRO MAADI by IHG, CAIRO

---

เช้า   รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
    นำท่านเดินทางสู่ เมืองอเล็กซานเดรีย (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที) นำท่านเที่ยวชม เมืองอเล็กซานเดรีย ซึ่งเป็นเมืองสำคัญในสมัยโรมันปกครองอียิปต์ เดิมทีเป็นหมู่บ้านประมงเล็กๆ ที่ชื่อว่า ราคอนดาห์ เมื่อ 1,200 ปีก่อนคริสตกาล จนเมื่อ 332 ปี ก่อนคริสตกาลหรือประมาณ 2,300 กว่าปีก่อนพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชมาพบ จึงให้มีการปรับปรุงขยายเมืองเพื่อเป็นเมืองหลวงและตั้งชื่อให้คล้องจองกับชื่อของพระองค์ เมืองอเล็กซานเดรียนี้ยังเป็นสถานที่สำคัญในตำนานรักอันยิ่งใหญ่ของ ราชินีเลอโฉมชื่อก้องโลก พระนางคลีโอพัตรา และนายทหารโรมัน มาร์ค แอนโทนี และปัจจุบันเมืองนี้ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ เป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก  ชมหลุมฝังศพใต้ดินแห่งอเล็กซานเดรีย 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกยุคกลาง สุสานของขาวโรมันในอดีตมีกว่า 50,000 ศพ สุสานใต้ดินแห่งนี้มีสามชั้น ชั้นที่ 1 มีไว้สำหรับลำเลียงโลงและศพ ชั้นที่ 2 เป็นที่ฝังศพ และชั้นที่ 3 ใช้เป็นที่รวมญาติเพื่อระลึกถึงผู้ตาย โดยมีการเลี้ยงสังสรรค์กันทั้งวัน ซึ่งเล่ากันว่าตอนที่นักโบราณคดีค้นพบที่นี่เป็นครั้งแรก บนโต๊ะยังมีขวดไวน์และจานวางอยู่
ชมเสาปอมเปย์ เป็นสิ่งสำคัญโบราณในสมัยโรมันปกครองอียิปต์ เป็นเสาแกรนิตสูง 27 เมตร ปอมเปย์ เป็นชื่อเพื่อนสนิทของ จูเลียส  ซีซ่า ผู้นำที่ยิ่งใหญ่แห่งโรมัน ซึ่งภายหลังทั้งสองได้กลายเป็นศัตรูกันและปอมเปย์ได้หลบหนีมายังเมืองอเล็กซานเดรียในอียิปต์ และได้ถูกชาวอียิปต์ฆ่าเสียชีวิต ปัจจุบันนี้เหลือเพียงแค่เสาโบราณแบบกรีก ตั้งอยู่อย่างโด่ดเด่น และสฟิงซ์อีกสองตัว

เที่ยง     บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น (ซีฟู้ด)
      นำท่านแวะชมและถ่ายรูปกับ ห้องสมุดแห่งอเล็กซานเดรีย หนึ่งในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของโลกในยุคสมัยโบราณถูกสร้างขึ้นราว 283–246 ปีก่อนคริสตกาลสถานที่แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันการศึกษา Mouseion ที่อุทิศตนเองให้กับเทพีแห่งศิลปะทั้งเก้า โดยผู้ที่บุกเบิกแนวคิดในการสร้างห้องสมุดแห่งนี้นั้นคือ Demetrius of Phalerum อดีตรัฐบุรุษชาวเอเธนส์ ที่ถูกเนรเทศและมาอาศัยอยู่ ณ อเล็กซานเดรีย โดยเขาได้เสนอความคิดดังกล่าวแก่ กษัตริย์ปโตเลมี ที่ 1 โซเตอร์ ด้วยต้องการความรู้และวิทยาการจากทั่วทุกสารทิศมาไว้ ณ สถานที่แห่งเดียวกัน ทั้งกษัตริย์ปโตเลมีเองก็มีความเห็นชอบและให้การสนับสนุนเป็นอย่างดีสถานที่แห่งนี้จึงถูกสร้างขึ้นในที่สุด ทั้งยังรวบรวมม้วนกระดาษปาปิรุสที่บันทึกสิ่งต่างๆ เอาไว้กว่า 40,000 ถึง 400,000 ม้วน
     นำท่านถ่ายรูปคู่กับป้อมปราการไคว์ทเบย์ Qaite Bay Citadel ซึ่งในอดีตนั้นเป็นที่ตั้งของ ประภาคารฟาโรส ถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ปัจจุบันเหลือเพียงส่วนที่เป็นฐานและได้มีรับการทะนุบำรุงต่อเติมจากสุลต่านเกย์ตเบย์ โดยรวบรวมซากเดิมบางส่วนเข้ามา อิสระให้ท่านพักผ่อนหย่อนใจกับการชมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่สวยงาม
ได้เวลาสมควรเดินทางกลับสู่เมืองหลวงกรุงไคโร

ค่ำ  บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก :  HOLIDAY INN CAIRO MAADI by IHG, CAIRO ระดับ 5 ดาว หรือเทียบเท่า

 

ที่พัก HOLIDAY INN CAIRO MAADI by IHG, CAIRO

เช้า          บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
                   นำท่านเข้าชมพิพิธภัณฑ์อียิปต์ “THE EGYPTIAN MUSEUM (EMC)”  พิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่และเป็นที่เก็บสะสมโบราณวัตถุของฟาโรห์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปิดตัวในปี 1902 โดย Khedive Abbas Helmy II จัดแสดงคอลเล็กชันกว่า 120,000 ชิ้น ตั้งแต่ยุคก่อนราชวงศ์ จนถึงยุคกรีก–โรมัน ได้รับรางวัลจากสถาปนิกชาวฝรั่งเศส Marcel Dourgnon และได้กลายเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในย่านใจกลางเมืองไคโร ท่ามกลางคอลเล็กชันที่ไม่มีใครเทียบได้ของพิพิธภัณฑ์  
นำท่านสู่ “ตลาดข่านเอลคาลีลี” ตลาดสำคัญทางการค้าขายของพื้นเมือง และแหล่งสินค้าที่ระลึกที่ใหญ่ที่สุดในกรุงไคโร อิสระให้ท่านได้เดินชมและเลือกซื้อสิ้นค้าพื้นเมืองที่ทำด้วยมือ สินค้าที่ระลึกต่าง ๆ หรือเลือกซื้อเครื่องประดับเครื่องแต่งกายสำหรับถ่ายภาพแบบพื้นเมืองมากมาย

เที่ยง        บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารท้องถิ่น
                   จากนั้นนำท่านสัมผัสประสบการณ์ช็อปปิ้งที่ Cairo Festival City Mall ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ที่ครบครันที่สุดในอียิปต์ สวรรค์ของนักช็อป ด้วยร้านค้ากว่า 300 แบรนด์ ทั้งแฟชั่น ความงาม และไลฟ์สไตล์   แบรนด์แฟชั่นระดับโลก โซนร้านอาหารระดับนานาชาติ IKEA Carrefour และ ไฮเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่สำหรับสายแต่งบ้าน พร้อมบรรยากาศสุดพิเศษริมน้ำสุดโรแมนติก เหมาะสำหรับการเดินเล่นและถ่ายรูป 
17.00 น.   ได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางสู่สนามบินไคโร
18.00 น.    ถึงสนามบินไคโร ทำการเช็คอินไฟล์ทกลับสู่ประเทศไทย (กระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องท่านละ 1 ใบ ไม่เกิน 23 กิโลกรัม เช็คทรูถึงสนามบินสุวรรณภูมิ และถือขึ้นเครื่องท่านละ 1 ใบ ไม่เกิน 7 กิโลกรัม )
21.30 น.    ออกเดินทางสู่กรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน ROYAL JORDANIAN  เที่ยวบินที่ RJ 506 (บริการอาหารว่างและเครื่องดื่มบนเครื่อง)
23.00 น.    เดินทางถึงสนามบินอัมมาน ทำการเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ

 

02.35 น.    ออกเดินทางสู่กรุงเทพ โดยสายการบิน ROYAL JORDANIAN  เที่ยวบินที่ RJ 182 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง)
15:35 น.  เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ